นักเขียนศาสตราจารย์ดร.โกวิทย์ พวงสวย
รื้อถอนระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนชรา
เพื่อลดความแตกต่าง
กรณีคนชรามากยิ่งกว่า 15,000 คนทั่วราชอาณาจักร รับเบี้ยคนแก่หรือคนชราสองทาง ทั้งยังรับเบี้ยเลี้ยงชีวิตคนวัยชรา และก็รับบำนาญพิเศษอีกทางหนึ่งจนกระทั่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการขอให้ช่วยเหลือให้คืนเบี้ยคนวัยแก่กับผู้สูงวัยที่รับเงินทั้งคู่ทาง ซึ่งมีการตีความหมายว่าเป็นการชำระเงินซ้ำไปซ้ำมา รวมทั้งเป็นสาเหตุของการคัดค้านกันว่าจำเป็นต้องชำระเงินคืนหรือเปล่า
ถ้าย้อนไปพิเคราะห์กฎระเบียบกระทรวงมหาดไทย ปี พุทธศักราช2552 ซึ่งได้ออกหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนสูงอายุ ระบุว่าผู้มีสิทธิที่กำลังจะได้รับเบี้ยเลี้ยงชีพผู้สูงวัย จำเป็นต้องไม่เป็นคนรับผลประโยชน์หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานดูแลส่วนท้องถิ่น ดังเช่นว่า คนรับเบี้ยบำนาญ เบี้ยหวัด เงินบำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ซึ่งหลักเกณฑ์เดิม การจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีพปี พุทธศักราช2548 ไม่มีกฎระเบียบนี้
หลักเกณฑ์เดิมปี พุทธศักราช2548 กำหนดการจ่ายเบี้ยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนวัยแก่เพียงว่า “เป็นผู้มีรายได้ไม่พอแก่การเลี้ยงชีพ ถูกละทิ้ง หรือขาดผู้อุปการะเลี้ยงมอง ไม่สามารถที่จะดำรงชีพเลี้ยงตัวเองได้”
หัวข้อการเรียกเงินคืน การรับเบี้ยสองทาง ของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โดยการให้หน่วยงานดูแลส่วนท้องถิ่นดำเนินงานทวงเงินคืน สำหรับคนแก่ที่รับเงินซ้ำไปซ้ำมานั้น จำเป็นที่จะต้องพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนสำหรับเพื่อการเรียกเงินคืน ดังนี้ เพราะเหตุว่าการที่คนสูงอายุรับเงินเบี้ยเลี้ยงชีพ แล้วก็รับบำนาญพิเศษ บางทีก็อาจจะเกิดเรื่องที่เขาไม่รู้เรื่องกฎระเบียบ ตัวบทกฎหมาย และก็รับไปด้วยความสุจริตใจ ต้องหาทางแก้ไขปัญหาให้กับคนสูงอายุ โดยยิ่งไปกว่านั้นคนแก่ที่เป็นคนยากจน ไม่อาจจะเลี้ยงชีพเลี้ยงตัวเองได้ หรือเปล่ามีรายได้พอเพียงแก่การเลี้ยงชีพ
ด้วยเหตุนั้นการเรียกเงินคืน “เบี้ยเลี้ยงชีวิตคนวัยแก่” จะพอๆกับเป็นการทับถม และก็สร้างภาระหน้าที่ความทุกข์ร้อนให้แก่คนวัยชราอีกต่อหนึ่งไหม และก็มีความคิดเห็นว่าการหาทางออกเพื่อแก้ไข จะเป็นแนวทางการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางออกสำหรับการปรับแต่งระเบียบปฏิบัติกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การช่วยเบี้ยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนแก่ ปี พุทธศักราช2552 เพื่อปลดล็อกเปิดช่องให้รับเบี้ยเลี้ยงทั้งคู่ทางได้ หรือจะหาหนทางแก้ไขเช่นไร ไม่เสียค่าใช้จ่ายคืน เพราะเหตุว่ามีความคิดเห็นว่ามีข้อเสียที่ส่วนราชการในส่วนที่ไม่เอาใจใส่หัวข้อนี้มานานนับมากมายปี
ผมก็เลยรู้เรื่องว่า “เบี้ยเลี้ยงชีวิตผู้สูงวัย” จำเป็นที่จะต้องจะเป็นเบี้ยเลี้ยงชีวิตคนวัยชราจริงๆเพื่อช่วยคนชราสำหรับผู้มีรายได้น้อยเกินไปแก่การเลี้ยงชีพ เป็นผู้ยากจน ถูกละเลยขาดการอุปถัมภ์ค้ำชูชุบเลี้ยง และไม่สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้
โดยมีความเห็นว่า ควรจะมีการปรับระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีวิตผู้สูงวัยใหม่ ซึ่งเสนอว่า “คนชราที่พึ่งพิงตัวเองได้” ไม่สมควรให้รับเบี้ยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนชรา ซึ่งบางครั้งอาจจะจำต้องมาวางหลักเกณฑ์ว่าคนวัยชราที่ไม่อยู่ในข่ายรับเบี้ยเลี้ยงชีพ มีคุณสมบัติคืออะไรบ้าง อาทิเช่น เป็นคนที่มีรายได้เป็นประจำทุกเดือนซึ่งสามารถเลี้ยงตัวเองได้ หรือมีรายได้จากการประกอบกิจการ โดยเงินทองของตัวเอง เป็นต้นว่า เป็นเจ้าของกิจการค้า อพาร์เม้นท์ ห้องชุด รีสอร์ต โรงงาน ร้านค้า รวมทั้งห้าง หรือเป็นคนที่มีเงินออมอยู่ในบัญชีเป็นของตัวเองมากยิ่งกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ฯลฯ ซึ่งทำให้คนมีฐานะพึ่งตัวเองได้จำเป็นจะต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เงินส่วนนี้ ถือได้ว่าเป็นการเกื้อหนุนผู้ที่แข็งแรงช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า
การจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีพคนวัยชราเฉพาะคนจนถึง ที่มีรายได้น้อยเกินไปแก่การเลี้ยงชีพ พอๆกับเป็นการช่วยลดความแตกต่างในทางฐานะชีวิตความเป็นอยู่ให้ต่ำลง และก็ยกฐานะการดูแลคนไม่แข็งแรงให้มีความแข็งแรงเยอะขึ้น นับเป็นการลดช่องว่างระหว่างคนยากจนรวมทั้งคนมั่งคั่งด้วยไป
ก็เลยมีความเห็นว่ารัฐบาลแล้วก็หน่วยงานดูแลส่วนท้องถิ่นต้องมีการทบทวนการจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีพคนวัยชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อแนะนำให้การจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีวิตให้กับคนชราใหม่ เฉพาะกรุ๊ปที่มีคุณสมบัติตามกฎระเบียบกระทรวงมหาดไทย พุทธศักราช2548 แค่นั้นผมก็เลยเห็นด้วยว่า ควรจะจ่ายเฉพาะกรุ๊ปที่มีรายได้ไม่พอแก่การเลี้ยงชีพ หรือเฉพาะคนจนถึง ตามเกณฑ์ลักษณะที่ระบุขึ้นเพียงแค่นั้น ไม่สมควรเป็นผลประโยชน์ถ้วนหน้า รวมทั้งจะมีผลให้เงินเบี้ยเลี้ยงชีวิตคนสูงอายุ จะได้ขยายตัวเงินให้กับผู้สูงวัยมากขึ้น มากยิ่งกว่า 600 บาท หรือ 700 หรือ 800 ต่อเดือน เพื่อคนยากจนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แล้วก็จะช่วยลดช่องว่างลดความแตกต่างไปในตัว
ก็เลยเสนอให้รัฐบาลรีบทำฐานข้อมูลพลเมืองที่เกี่ยวกับความอนาถา ฐานะรายได้ รวมทั้งบุคคลที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเกินไปแก่การเลี้ยงชีพ ถูกละเลย เป็นคนยากจน ขาดผู้อุปการะเลี้ยงมอง โดยให้หน่วยงานดูแลส่วนท้องถิ่นกระทำตรวจสอบข้อมูลบุคคล รวมทั้งพินิจพิจารณาบุคคลที่จะเป็นฐานของข้อมูลคนสูงอายุที่จะจะต้องได้รับผลประโยชน์คนสูงอายุ “เบี้ยเลี้ยงชีวิต” ซึ่งบางทีก็อาจจะรวมทั้งฐานข้อมูลผู้อนาถาอื่นๆเพื่อจัดผลประโยชน์ด้านอื่นๆให้กับบุคคลชนิดที่น่าจะได้รับผลประโยชน์ต่างๆซึ่งสามารถตอบปัญหาความอดอยากที่ก่อให้เกิดการลดความแตกต่างในประเทศลงได้ถัดไป
ก็เลยเสนอว่า ถึงเวลาที่จะจะต้องกลับมาทวน ปรับระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีวิตคนแก่ เพื่อจะช่วยลดความแตกต่างของคนภายในประเทศ แล้วก็จะช่วยทำให้ตอบปัญหาการแก้ความแร้นแค้น และก็ให้คนยากจนที่ไม่มีรายได้พอเพียงจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต
ศาสตราจารย์ดร.โกวิทย์ พวงสวย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคพลังเขตแดนไท
รื้อถอนระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนวัยชรา เพื่อลดความแตกต่าง
