‘ยกอำนาจ’ ชี้ความเห็นชอบสภานิติบัญญัติส่งแปลความหมายแก้รัฐธรรมนูญ ทำลายอำนาจตนเอง ฝากราชบัณฑิตยสถาน อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแรง กระทั่งไม่สนใจความรู้สึก-คำเรียกร้องของประชาชน
ช่วงวันที่ 10 ก.พ. นายยกอำนาจ ศรีนิล รองหัวหน้าพรรคและก็ประธานคณะทำงานทางกฎหมายของพรรคเพื่อไทย (พื้นที่) มีความคิดเห็นประมือณีที่สภานิติบัญญัติได้ลงความเห็นให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์อำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติสำหรับในการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอีกรัฐธรรมนูญ ตามญัตติที่เสนอโดย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชาชนเมือง (พปชราชการ) และก็ สมาชิกวุฒิสภาบางบุคคล ว่า หากแม้โดยสภาพการณ์ทางด้านการเมืองรัฐบาลจะคุมเสียงส่วนมากในที่ประชุมและก็ยังมีเสียง สมาชิกวุฒิสภา เกื้อหนุนอีกสำหรับการโหวตหัวข้อต่างๆแม้กระนั้นก็ไม่คาดคิดว่าสภานิติบัญญัติจะลงความเห็นดังที่กล่าวถึงมาแล้วออกมาได้ ด้วยเหตุว่าเมื่อพิเคราะห์เรื่องการเสนอญัตติ ผู้เสนอได้อ้างข้อปฏิบัติการสัมมนาสภานิติบัญญัติ ข้อ 31 เพื่อสภานิติบัญญัติลงความเห็นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์ว่าร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้เพิ่มอีกทั้งสามฉบับที่สภานิติบัญญัติได้มีความเห็นถูกใจในวาระที่ 1 แล้ว
ในส่วนที่ให้มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น สภานิติบัญญัติมีอำนาจ ปฏิบัติการได้หรือเปล่า โดยมีความคิดเห็นว่าเรื่องดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคือปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210(2) แล้วก็ได้ชูแนวทางแปลความหมายข้อบังคับที่ว่า “ไม่มีข้อบังคับ ไม่มีอิทธิพล” มาเป็นข้อแก้ตัว ตนมีความเห็นว่า การลงความเห็นของสภานิติบัญญัติเป็นความเห็นชอบที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และก็เป็นการทำลายอำนาจหน้าที่ของตนดังที่รัฐธรรมนูญได้มอบอำนาจไว้ เป็นการชูอำนาจนิติบัญญัติของตนไปให้หน่วยงานอื่นวิเคราะห์ ทำลายหลักอำนาจสูงสุดของสภานิติบัญญัติอย่างโชคร้าย แล้วก็มีความคิดเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอิทธิพลสำหรับการวิเคราะห์เรื่องดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยมีข้อไตร่ตรอง ดังต่อไปนี้
1.อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆตามรัฐธรรมนูญรวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีกำหนดไว้โดยชัดแจ้งตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เรื่องใดที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานนั้นย่อมมีอำนาจสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนได้ เรื่องใดที่จะจำต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์ก็ควรเป็นไปจากที่เมืองธรรมญ แล้วก็ข้อบังคับกำหนดไว้แค่นั้น ดังนี้เป็นไปตามแนวทางยกย่องภารกิจของหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญสำหรับในการแปลความรัฐธรรมนูญ โดยหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญจำเป็นจะต้องตระหนักถึงภารกิจที่รัฐธรรมนูญมอบหมายให้แก่ตัวเองรวมทั้งควรต้องนับถืออำนาจหน้าที่และก็ภารกิจทางรัฐธรรมนูญของหน่วยงานอื่นตามรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาล รัฐธรรมนูญจึงควรระแวดระวังไม่ตีความหมายให้มองเหมือนได้แก่การใช้อำนาจออกพระราชบัญญัติแทนหน่วยงานข้างนิติบัญญัติ
2.เมื่อการปรับปรุงเพิ่มอีกรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญมาตรา 156(15) ข้อบังคับให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติ สภานิติบัญญัติก็เลยถูกใจที่จะดำเนินงานได้ ส่วนการจะปรับปรุงแก้ไขเสริมเติมยังไงก็อยู่ในอำนาจ หน้าที่ของสภานิติบัญญัติที่จะพินิจได้เอง โดยนึกถึงข้อกำหนดสำหรับในการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอีกตามมายี่ห้อ 255 แล้วก็ตามหลักกฏเกณฑ์ กระบวนการปรับแต่งเพิ่ม เพิ่มตามมายี่ห้อ 256 เป็นหลัก ปัญหาว่าการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอีก รัฐธรรมนูญเพื่อมีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นสภานิติบัญญัติจึงควรแปลความหมายอำนาจหน้าที่ของตนด้วยเหตุว่าเกิดเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ตัวเองอยู่แล้ว ไม่ใช่ในกรณีที่จำเป็นที่จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นแปลความอะไร การที่สภานิติบัญญัติลงความเห็นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญแปลความการปรับแก้เสริมเติมรัฐธรรมนูญใน คราวนี้ถือว่าเป็นการนําอำนาจของตนที่มีอยู่ไปให้หน่วยงานอื่นตีความหมายว่าตัวเองมีอำนาจไหม ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายอำนาจของตน อย่างโชคร้าย แล้วก็ความประพฤติปฏิบัติดังที่กล่าวผ่านมาแล้วน่าจะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง เท่าที่สำรวจมองรู้เรื่องว่าศาลแปลความอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210(2) ว่าเกิดเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานนั้นหรือเปล่า หรือเป็นความไม่ตรงกันว่าหน่วยงานใดจะมีบทบาท การปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติอยู่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีหน้าที่มาชี้แจงรัฐธรรมนูญ
3.การชูแนวทางแปลความข้อบังคับที่ว่า “ไม่มีข้อบังคับ ไม่มี อำนาจ” มาเป็นคำกล่าวอ้างนั้น ไม่น่าจะใช้ได้ เนื่องจากว่าแนวทางดังที่กล่าวถึงมาแล้วจะเน้นสำหรับการควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายปกครองสำหรับในการใช้อิทธิพลทางดูแลเป็นหลัก แต่ว่าการตีความหมายรัฐธรรมนูญมีหลักสำหรับการแปลความโดยยิ่งไปกว่านั้นอยู่แล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดไว้โดยชัดแจ้งว่าการปรับปรุงเสริมเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแล้ว สภานิติบัญญัติย่อมมีอำนาจทำงานได้ โดยไม่ต้องแปลความหมายอะไรก็ตามอีกเพียงการปรับแก้เพิ่มนั้นควรต้องไม่ขัด ถัดมายี่ห้อ 255 และก็เป็นไปตามมาตรา 256 เพียงแค่นั้น การขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์ความพอใจด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญ ปรับแก้เพิ่มนั้น จะทำเป็นเฉพาะกรณีตามมายี่ห้อ 256(9) เป็นร่าง รัฐธรรมนูญปรับแต่งเพิ่มอีกนั้นขัดกับมาตรา 255 หรือมีลักษณะตาม (4) แค่นั้น กรณีอื่นใดนอกเหนือจากนี้ไม่มีบทบัญญัติให้สิทธิศาลรัฐธรรมนูญพินิจพิเคราะห์วิเคราะห์ได้
รวมทั้ง 4.ข้อแก้ตัวที่ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านมติมหาชนของประชากร การจะชูร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งยังฉบับควรจำเป็นต้องทำมติมหาชน ถามราษฎรก่อนนั้น กรณีดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่ว่าอย่างไรก็ดี เมื่อมีการปรับปรุงเพิ่มเติมอีกรัฐธรรมนูญผ่านวาระสามและจำต้องนําร่างรัฐธรรมนูญนั้นให้ประชากรออกเสียงมติมหาชนอยู่แล้ว ตามมายี่ห้อ 256(8) ก็เลยไม่ต้องทำมติมหาชนสองรอบให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ดังนี้ ในกรณีที่เกิดขึ้นถ้าหากพินิจพิเคราะห์ในทางการบ้านการเมืองดูอย่างกับว่ารัฐบาลจะเป็นต่อ แม้กระนั้นถ้าหากคิดให้ดีความประพฤติปฏิบัติแบบนี้ จะนําไปสู่วิกฤตรอบใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมแล้วก็รัฐบาลควรต้องรับผิดชอบ ด้วยเหตุว่าการเสนอญัตตินี้ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าคนแก่ในรัฐบาลไม่ทราบมองเห็น ก็เลยขอให้รัฐบาลย้อนทวนอดีตกาลว่าก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาที่ดื้อด้านจะไม่มีการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วกำเนิดอะไรขึ้น ก็เลยขอฝากไปยังรัฐบาลว่าอย่าเห็นว่าตัวเองแข็งแรงกว่าพสกนิกร และก็ทำอะไรที่ไม่สนใจความรู้สึกรวมทั้งคำเรียกร้องของสามัญชนแบบนี้ อำนาจที่ท่านมั่นใจว่า หนักแน่นบางทีอาจพังทลายลงได้ไพเราะความประพฤติปฏิบัติของพวกท่านเอง
‘ยกอำนาจ’ ชี้ความเห็นชอบสภานิติบัญญัติส่งตีความหมายแก้รัฐธรรมนูญ ทำลายอำนาจตนเอง ฝากราชบัณฑิตยสถาน อย่าเห็นว่าตัวเองแข็งแรง
