นักเขียนพระกว้างใหญ่ วิสาโล
จิตพัฒนา : รู้เท่าทันความนึกคิด จิตสงบ
สมัยเก่าผู้เฒ่าผู้แก่เวลาอวยพรบุตรหลานที่มาเลิศ มากมายราบขอพร ท่านจะอวยพรสั้นๆว่า “ขอให้ทราบเนื้อรู้สึกตัวนะ” มิได้อวยพรอะไรเยอะแยะ พรอื่นใด เป็นต้นว่า โชคดี มีลาภ อายุยืน ก็ไม่ดีเลิศพอๆกับวิชาความรู้เนื้อรู้สึกตัว เพราะว่าอายุยืนก็หลงได้ เป็นต้นว่า เป็นคนขี้หงุดหงิด เพราะว่าเจ็บจากรอยแผลในสมัยก่อนที่นาน ผ่านมา 30-40 ปีและก็ยัง ไม่หายโกรธแค้น ไม่หายอาฆาต อายุยืนจะมีสาระอะไร ถ้าเกิดดวงใจยังหลง จมอยู่กับความขุ่นเคือง ขาดแคลน เศร้าหมอง เศร้าสร้อย รับประทานมิได้นอนไม่หลับ ดีไม่ดีตอนตายก็ไปอบายภูมิ เนื่องจากว่าจิตท้ายที่สุดใคร่ครวญแต่ว่าในทางชั่ว เพราะว่าเต็มไปด้วยความหลง
แม้จะรวยมีเงินมีทอง แม้กระนั้นถ้าเกิดดวงใจยังหลง ห่วงไม่ค่อยสบายใจสินทรัพย์ ความมั่งคั่งจะมีคุณประโยชน์อะไร สำนวนโบราณว่า “มีทองคำเท่าหนวดกุ้ง นอนตกใจกระทั่งเรือนไหว” นี่ขนาดทองคำเท่าหนวดกุ้ง ถ้าเกิดมีทองคำเป็นโซ่จะแค่ไหน ผู้เฒ่าผู้แก่เขาทราบดีว่ามีอะไรก็ไม่เลิศเท่าการทราบเนื้อรู้สึกตัว เนื่องจากว่าเป็นประตูสู่ความสบายความเงียบสงบ ทั้งยังเป็นบันไดพาไปสู่สมบัติพัสถานที่วิเศษอีกทั้ง
สิ่งที่ดีเลิศมากกว่าสามัญทรัพย์สิน ก็คือ ปรมัตถธรรม สูงสุดก็คือนิพพาน ปรมัตถธรรมจะเข้าถึงได้ ก็จำต้องเริ่มจากการทราบเนื้อรู้สึกตัว หากไม่ทราบเนื้อรู้สึกตัวก็ไม่ต้องเอ๋ยถึงปรมัตถธรรม กระทั่งการร่มเย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์จะเกิดขึ้นมิได้เลยถ้ายังมีความหลง ไม่เคยทราบเนื้อรู้สึกตัว
ก่อนหน้าที่ผ่านมา ความหลงกำเนิดกับพวกเราโดยมาก วันละหลายๆครั้ง หรือตลอดวัน ก็คือการหลงนึกถึงอดีตกาลบ้าง อนาคตบ้าง นึกถึงหน้าที่ที่ค้าง นึกถึงปัญหาต่างๆกระทั่งรับประทานมิได้นอนไม่หลับ แบบนี้เรียกว่าหลงคิด
ความนึกคิดนั้นทิ้งง่ายดายเสียยิ่งกว่าอารมณ์ อารมณ์มีผล เป็นพิษสงที่กุมจิตใจอย่างแน่นหนา ฝังลึกมากยิ่งกว่าความนึกคิด แล้วก็ยังหาตัวยาก ในขณะที่อยู่ในใจพวกเรา อยู่ใกล้กว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย แต่ว่าพวกเรามักหาไม่พบ ไหมทราบด้วยว่ามีอยู่ แต่ว่าในเวลาที่ความนึกคิดผุดขึ้นมาโดยมากพวกเราคิดเป็นคำ หรือคิดเป็นภาพ มันมองเห็นง่ายดายยิ่งกว่า
ความนึกคิดนั้นบางทีก็เชิญชวนให้แฮปปี้เมื่อรำลึกถึงวันคืนอันแจ่มใส กำเนิดความบันเทิงยินดี บางเวลาพวกเราแฮปปี้เมื่อเหม่อลอย นึกถึงความสนุกสนานร่าเริง คิดถึงการไปท่องเที่ยว คิดและเพลิดเพลิน แม้กระนั้นเหม่อลอยก็เป็นความหลงอีกอย่างหนึ่ง
บางบุคคลสงสัยว่าเหม่อลอยไม่ดียังไง เพราะอะไรจำเป็นที่จะต้องทิ้งหรือวางมันลง เพื่อกลับมาอยู่กับตอนนี้ กลับมาอยู่กับวิชาความรู้เนื้อรู้สึกตัว
ในขณะที่เหม่อลอยก็มองไม่มีพิษไม่มีภัย แม้กระนั้นพึงพอใจลอยครู่หนึ่งมันก็จม เหม่อลอยกับจิตใจจมดูอย่างกับว่าตรงกันข้ามกัน แม้กระนั้นมันสนิทติดเชื้อกันมากมายทีเดียว ตอนต้นเหม่อลอยชักชวนให้เพลิดเพลินใจยินดี ครู่หนึ่งดวงใจก็หวนไปคิดถึงความเจ็บในสมัยก่อน นึกถึงความจำที่ไม่ดีขึ้นมา ช่วงนี้ดวงใจก็ถูกลากไปจมอยู่กับสมัยก่อน หรือจมอยู่กับภาพอนาคตที่ปรุงในทางลบทางร้าย มนุษย์เราพอเพียงเพ้อฝันแล้วเหม่อลอย ครู่หนึ่งดวงใจก็จม แล้วติดอยู่ในอารมณ์ จนกระทั่งทำให้เครียดหนักใจ ถึงกับขนาดรับประทานมิได้นอนไม่หลับ หรือกระวนกระวายในจิตใจ
ที่ใครๆมีความคิดว่าเหม่อลอยเป็นการดี ไม่มีพิษสง โน่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ใส่ใจว่า เหม่อลอยนี่แหละที่สุดด้านหลังจะมีผลให้หัวใจจมอยู่กับอารมณ์ที่เป็นชั่ว ยังไม่เอ่ยถึงอุบัติเหตุที่เกิดเพราะว่าเหม่อลอย ไม่รู้จักเนื้อรู้สึกตัวขึ้นมา ได้แก่ ลื่นหกล้มขณะเข้าสุขา หรือตกบันได ถ้าหากเหม่อลอยตอนที่กำลังขับรถยนต์ ก็บางทีอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ ลองนึกถึงว่า ถ้าข้ามถนนแล้วเหม่อลอย จะกำเนิดอะไรขึ้น ดวงใจยังไม่ทันจมเลย ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยไปแล้ว แข้งขาหัก หรือถึงขั้นเสียชีวิตเลย ด้วยเหตุนั้นพวกเราจำเป็นจะต้องพาจิตใจให้มาอยู่กับการทราบเนื้อรู้สึกตัวเป็นประจำหมั่นรู้ตัวเป็นนิจ ด้วยการก้าวหน้าสติ
สติมีคุณประโยชน์ตรงที่ชี้ให้เห็นทันความนึกคิด แล้วก็อารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใดก็ตาม อารมณ์บวกหรือลบ ยินดีหรือยินร้ายก็รู้เท่าทัน ช่วยปกป้องไม่ให้มันมาครอบครองหัวใจ ให้หลง ไม่ว่าจะหลงเพลิดเพลิน หลงพอใจ หรือหลงทุกข์ ก็ไม่เอาทั้งหมด เพราะ ความดีอกดีใจหรือความสบาย ก็มีโทษเช่นเดียวกัน
หลวงพ่อชา สุภฺทโท เปรียบเทียบความทุกข์ทรมานราวหัวงู ส่วนความสำราญดังหางงู หากจับหัวงู งูก็ฉก แต่ว่าหากจับหางงูแล้วไม่รีบปลดปล่อยมันก็ฉกได้แบบเดียวกัน ท่านแปลว่า สุขหรือทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่สมควรถือมั่นถือมั่น แต่ว่ามีผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยทั้งที่ทราบดีว่า ไม่สมควรถือมั่นถือมั่น แต่ว่าพอเพียงโกรธหนใด แทนที่จะสลัดความขุ่นเคือง กลับยึดมันเอาไว้ เวลาเสียใจถึงแม้ว่ารู้ดีว่ามันกด ถ่วง ถ่วง ทับ จิตใจ ก็ยังยึดเอาไว้ ไม่ยินยอมปลดปล่อย ไม่ยินยอมวางโน่นเป็นเนื่องจากหลง เพราะว่าไม่รู้ตัว ถ้าเกิดรู้สึกตัวก็จะวางเอง
ความสำราญก็เช่นกัน ถ้าเกิดยึดเอาไว้ เช่นเดียวกับจับหางงู ทีแรกๆไม่เป็นอะไร แม้กระนั้นเดี๋ยวเดียวก็โดนงูกัดแล้ว ความสำราญนั้นหากยึดเอาไว้ ก็จะกำเนิดทุกข์ตามมา ด้วยเหตุว่าความสบายเป็นของชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เที่ยง ปรวนแปร ไม่นานก็เสื่อมไป หากยึดมันเอาไว้ พอเพียงมันหายไป ก็จะทุกข์ เศร้าใจ ผิดหวัง ความเงียบสงบก็ด้วยเหมือนกัน ในช่วงเวลาที่มันเกิดขึ้น ถ้าไม่เคยรู้ทัน ก็จะเผลอยินดี แม้กระนั้นเพียงพอความเงียบสงบหายไปก็จะเศร้าใจ คนที่ติดสงบ เพียงพอปราศจากความสงบ ไม่ว่าสงบข้างนอกหรือสงบด้านใน ก็จะรู้สึกอารมณ์เสีย เศร้าใจ มีความทุกข์
ในทางตรงกันข้าม เมื่อสงบ ก็รู้ว่าสงบ ไม่เพลิดเพลินกับความสงบเงียบ โดยเหตุนี้เมื่อความเงียบสงบหายไป ดวงใจก็ไม่กลุ้มใจ ยังคงปกติอยู่ได้ ไม่อารมณ์เสีย ผลปรากฏว่าเป็นความเงียบสงบ เป็นความสงบที่เกิดขึ้นจากจิตใจที่ไม่ยึดติดความเงียบสงบ
จิตความเจริญรุ่งเรือง : รู้เท่าทันความนึกคิด จิตสงบ
